การจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร (Cooking experience) หมายถึง การจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมผ่านขั้นตอนและกระบวนการประกอบอาหารประเภทต่างๆ
ที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้
เกิดความคิดรวบยอดและพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ อย่างสมดุล จากการได้ลงมือปฏิบัติจริงโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเรียนรู้
จนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ
(Child centered) อีกทั้งยังปลูกฝังเด็กให้เด็กมีพฤติกรรมทางด้านสุขภาพ
สุขอนามัย และโภชนาการที่ดี
การจัดประสบการณ์การประกอบอาหารมีความสำคัญอย่างไร?
การเรียนรู้ของมนุษย์เรามีผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ต่างๆ
ที่ได้รับ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
โดยเด็กจะต้องเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง
และการเรียนรู้จะเป็นไปได้ดีถ้าเด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว
มีโอกาสได้คิดริเริ่มตามความต้องการและความสนใจของตนเอง
รวมทั้งอยู่ในบรรยากาศที่เป็นอิสระ อบอุ่น และปลอดภัย
ครูจึงมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ต้องปรับเปลี่ยนจากบทบาทผู้ที่สั่งสอนด้วยชี้นำ
บอกความรู้ให้เด็กมาเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้
และอำนวยความสะดวกแก่เด็กในด้านต่างๆ
เพื่อให้เด็กได้ลงมือกระทำกิจกรรมด้วยตนเองจนเกิดเป็นองค์ความรู้ที่มีอยู่ในตนเอง
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการเหมาะสมกับวัย
ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
และสติปัญญา เมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัยแล้ว
เด็กจะบรรลุมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่กำหนดไว้ในจุดหมาย จำนวน 12 ข้อ ได้แก่
การจัดประสบการณ์การประกอบอาหารมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร?
การประกอบอาหารเป็นกิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการที่สนุกสนาน
และเร้าความสนใจในการเรียนรู้ของเด็กได้เป็นอย่างดี
กิจกรรมนี้ไม่ได้มุ่งเน้นที่ผลงานหรืออาหารที่ทำเสร็จ
แต่อยู่ที่กระบวนการระหว่างการทำกิจกรรมเป็นสำคัญ
กิจกรรมการประกอบอาหารมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กดังนี้
·
เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการ และอาหารหมู่ต่างๆ
จากการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร เช่น การทำผัดผักรวม
เด็กจะเรียนรู้ว่าผักมีประโยชน์ให้วิตะมินและแร่ธาตุต่างๆ
กุ้งให้สารอาหารประเภทโปรตีน และไขมัน ฯลฯ
·
เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับรายการอาหารใหม่ๆ
และส่วนประกอบของอาหารในแต่ละวัฒนธรรมหรือท้องถิ่น เช่น
อาหารทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ส้มตำ ลาบ น้ำตก ต้มแซ่บ ฯลฯ อาหารภาคใต้
ได้แก่ แกงไตปลา แกงเหลือง ผัดเผ็ดสะตอกุ้งสด ฯลฯ
·
เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพที่แตกต่างกันในอาหารแต่ละประเภท
และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหาร เช่น การทำข้าวผัดอนุบาล
จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้าวมาจากไหน ดังนั้น เด็กจึงต้องเรียนรู้อาชีพชาวนา
การทำยำทะเลเด็กจะได้เรียนรู้อาชีพชาวประมง ทำสลัดผลไม้จะได้เรียนรู้อาชีพชาวสวน
หรือการปรุงอาหารจากรายการอาหารใหม่ๆ จะเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพพ่อครัวหรือเชฟ
เป็นต้น
·
เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น
การสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นขณะปรุงอาหาร การระเหยของน้ำในหม้อแกง
การเปลี่ยนสีของผักก่อนและหลังการปรุง การละลายของเนย การเปลี่ยนสถานะของน้ำ
การเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลง หรือใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ เด็กยังได้ฝึกฝนทักษะการเปรียบเทียบ
การจำแนก การจัดกลุ่มของวัสดุที่เป็นส่วนประกอบของอาหารแต่ละชนิด เช่น
ให้เปรียบเทียบขนาดของผลส้ม ให้จัดประเภทของผลไม้หรือผักต่างๆ ฯลฯ
·
เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เช่น
การเปรียบเทียบปริมาณน้ำส้มคั้นในแต่ละแก้ว การเรียงลำดับขนาดจากใหญ่ไปหาเล็กของผลมะเขือเทศ
การนับจำนวนแตงกวา แครอท การรู้ค่าจำนวน - 10 จากการใช้สื่อประเภทผักหรือผลไม้ที่นำมาประกอบอาหาร
·
เด็กจะได้พัฒนาทักษะทางภาษา เด็กจะได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ
จากวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการประกอบอาหาร เช่น จาน ชาม ช้อน มะม่วง แตงโม ผักกาด
นอกจากนี้เด็กยังได้พัฒนาทักษะการฟัง การพูดคุยตอบโต้ระหว่างครูและเพื่อนๆ
หรือการแสดงความคิดเห็นในขณะปฏิบัติกิจกรรม
· เด็กจะได้รับการพัฒนาทักษะทางสังคม
ในการประกอบอาหารครูอาจแบ่งเด็กให้ปฏิบัติกิจกรรมเป็นกลุ่ม
การทำงานกลุ่มย่อมทำให้เด็กพัฒนาการสื่อสารระหว่างกัน
การแก้ปัญหาทางสังคมจะเกิดขึ้นในช่วงนี้
เด็กจะได้วางแผนและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ มีการแบ่งปัน ช่วยเหลือและมีพฤติกรรมการเอื้อเฟื้อ
ตลอดจนการรู้จักการปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม
·
เด็กจะได้รับการพัฒนาทางด้านอารมณ์
กิจกรรมประกอบอาหารเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและท้าทายการเรียนรู้ของเด็ก
เด็กจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ร่วมกิจกรรมและปฏิบัติการด้วยตนเอง
การอด้วยความจดจ่อว่าเมื่อไรอาหารจะสุก
·
เด็กจะได้รับการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง
เด็กบางคนอามีทัศนคติที่ไม่ดีกับการรับประทานผักบางชนิด
การจัดกิจกรรมประกอบอาหารที่เด็กได้ลงมือปรุงด้วยตนเองเป็นการสร้างทัศนคติในเชิงบวกและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้
เช่น ถ้าครูสังเกตว่ามีเด็กบางคนไม่ชอบรับประทานผักคะน้า
ครูอาจจัดกิจกรรมประกอบอาหารประเภทผัดผักรวมและให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเตรียมผัก
ล้างผัก หั่นผักและปฏิบัติการขั้นปรุงด้วยตัวเด็กเอง
เด็กก็จะยอมรับในการรับประทานผักชนิดนั้นได้
· สร้างความเชื่อมั่นในตนเองและสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดกับเด็ก
ในการประกอบอาหารในแต่ละครั้ง
ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้ปฏิบัติการประกอบอาหารด้วยตนเองเป็นกลุ่ม
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการปรุงอาหารทุกครั้ง ครูให้แรงเสริมอย่างสม่ำเสมอ
เด็กจะเกิดความเชื่อมั่นในการทำกิจกรรมในครั้งต่อไปและจะพัฒนาไปสู่ความภาคภูมิใจในตนเองได้
· เด็กจะได้รับการพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น
การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและตา การที่เด็กได้หั่นผัก
ตักน้ำตาลหรือเกลือใส่ลงในกระทะ เทเครื่องปรุงทั้งหมดลงในหม้อ
การเทน้ำส้มลงไปในแก้ว การปั้นแป้งทำขนมบัวลอย กิจกรรมต่างๆ นี้เป็นเรื่องของการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กได้เป็นอย่างดี
รูปภาพการทำกิจกรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น